Sunday, May 3, 2015

กลยุทธ์ของรายใหญ่ & Controlling the Poker Table ::: Lessons 2 from Poker Series

ดูเหมือนโพสแรกจะได้รับความนิยมไปบ้าง พอสมควร ทั้งจากนักเล่นหุ้นจริงๆ หรือ มือใหม่ หรือคนที่อยากเล่น Poker อิอิ จากกระทู้นี้ http://pantip.com/topic/33508380

บางความเห็นก็ไม่ค่อยตรงใจผมเท่าไหร่ ว่าเล่นไพ่เสียเวลามั่ง เงินแค่นี้เอาไปทำไรได้มั่ง แหม่ มันเป็นแค่การเทรนนิ่งครัช อย่าคิดมาก และผมติดเองล่ะ เลยขลุกอยู่กะมันนานไปหน่อย ส่วนตอนนี้ก็เลิกเล่นแล้ว แค่เอา ปสก และมุมมองที่ได้จากมันมาเล่าต่อเท่านั้นเองแหละ ส่วนเรื่องเล่นหุ้น เล่นทีเฟก ก็ต้องตามสภาพ ตาม ปสก แหละครับ ไม่พลาดแน่ แต่ขอไปแบบเรื่อยๆชัวร์ๆละกัลล
แต่ก็เอาเถถอะ มีเห็นด้วยเห็นต่าง เป็นเรื่องปกติของการพูดคุย รับได้ครับ อิอิ

วันนี้ว่าง มีอารมณ์มาต่อภาคสอง จะแพล่มเรื่องการทำงานของรายใหญ่ซะหน่อย
ถ้ามีคำภาษาอังกฤษประหลาดๆ ศัพท์ Poker หรือ ศัพท์หุ้นบ้างต้องขออภัยนะครับ เพราะเราก็เรียนจากตำราฝรั่ง มันมีแต่คำพวกนี้อะนะ ถ้ามาแปลเป็นไทย บางทีก็ยังไม่มีใครบัญญัติให้ ก็จะพยายามอธิบายเป็นไทย ให้มากสุดละกัน รายละเอียดเยอะนะครับ เพราะผมชอบลงลึก ใครสมาธิสั้นอ่านไม่ไหว ก็อดไปละกัน อิอิ

แล้วถามว่ามะรึงเคยเป็นเจ้ามือหุ้นเหรอ ก็ไม่ใช่ แต่เอาจริงๆ เจ้ามือหุ้น เค้าไม่มานั่งอธิบายวิธีการขยี้รายย่อยให้เราฟังหรอก จริงไหมครัช แถมรายใหญ่ๆ เค้ามีเยอะซะที่ไหน หาไปเหอะ หมื่นคนจะเจอรายใหญ่สักคนรึเปล่า

อยากจะแพล่มเรื่องนี้หน่อยเพราะว่า ผมว่าบางคนเข้าใจความสามารถของรายใหญ่ได้ไม่ตรงซะทีเดียว
บางคนบอกว่า "หุ้นจะมีคนคุมเกมส์และเห็นไพ่ในมือทุกคนหมดแล้ว" หรือบางทีก็ประมาณว่าเจ้ามือทำได้ทุกอย่าง ผมว่ามันไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ ถ้าถึงขนาดนั้นก็อย่าเล่นเลยดีกว่า รายใหญ่อาจจะมีอำนาจมาก แต่ไม่ถึง 100% แน่นอน (อันนี้เป็นมุมมองที่ได้จากการเล่นไพ่มาเยอะๆนะครับ ถ้ามีรายใหญ่ หรือ เจ้ามือจริงๆจะมาแย้งก็ได้นะ อิอิ หรือถ้าคนที่มี ปสก ในตลาด เห็นไรมามากๆ จะมาแย้งก็ได้ครับ ยินดี)

ขอบัญญัติศัพท์ให้ตรงกันสักนิด ในการพูดคุยของผม
บนโต๊ะ Poker คำว่า เจ้ามือ กับ รายใหญ่ ไม่ใช่อันเดียวกันนะครับ
เจ้ามือ ก็คือ คนแจกไพ่ หรือ Dealer นั่นเอง ถ้าเล่นออนไลน์ เจ้ามือก็จะเป็นอัลกอริทึมของทางเว็บ เพราะฉะนั้น เจ้ามือยุติธรรมเสมอ (ถ้าเล่นเว็บหรือคาสิโนที่เชื่อถือได้อะนะ) ส่วน
รายใหญ่ บนโต๊ะ Poker ก็คือ พวก Big Stack ก็คือคนที่มีชิปส์มากกว่าคนอื่นๆบนโต๊ะ ถ้ามีคนนึงมีชิปส์นำอยู่อย่างมีนัยยะสำคัญ คนนั้นก็จะเป็น Chip Leader หรือ Table Captain

Viktor Blom (Isildur1)

Big Stack หรือ รายใหญ่บนโต๊ะ Poker เกิดจากการเล่น แล้วอยู่รอดมานานครับ สะสมชิปส์มาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดจากการชนะออลอิน แบบ 50/50 หรือเกิดจากการค่อยๆตุ๋ยคนโน้นที คนนี้ที จนชิปส์มีมหาศาลมากกว่าคนอื่นๆในโต๊ะ

ในมุมมองของผม (ความเห็นส่วนตัว) รายใหญ่บนโต๊ะ Poker ไม่ต่างจากรายใหญ่ในตลาดหุ้น ซึ่งก็คือคนที่เล่นมีนาน และสะสมเงินได้มหาศาล อาจจะมีทั้งออกสื่อ และไม่ออกสื่อ ถ้าเห็นดังๆก็ เสี่ยยักษ์, ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ส่วนคำว่าเจ้ามือ ผมคิดว่าไม่เหมาะสมสำหรับการเอาไปมองรายใหญ่ครับ เพราะมันเหมือนมองว่าเขาคือเทพเจ้าเกินไป

รายใหญ่ในตลาดหุ้นผมไม่เคยเป็นแน่นอน แต่รายใหญ่บนโต๊ะ Poker ล่ะก็ นับไม่ถ้วน ถ้าผมเล่นทัวร์นาเม้นแล้วอยู่รอดจนใกล้ๆช่วง in the money ก็คือช่วงที่จะได้เงินรางวัล จะได้มากได้น้อยก็แล้วแต่ดวง ผมจะกลายเป็นรายใหญ่ประมาณ 20-30% (ผมชอบเล่น Sit N Go ทัวร์นาเม้นแบบโต๊ะเดียว ทำให้ผมมีโอกาสจะเป็น Table Captain ได้บ่อย เพราะเล่นแป๊บๆ ก็ใกล้จะ In The Money ละ)

ซึ่งรายใหญ่บนโต๊ะ Poker กับ รายใหญ่ในตลาดหุ้นคงไม่เหมือนเป๊ะๆนะครับ ก็ลองรับฟังเป็นมุมมองนึงละกัน ผมจะแพล่มเฉพาะ จาก Poker เป็นส่วนใหญ่



จากรูปเป็นเหตุการณ์ตอนที่ผมเล่นทัวร์นาเม้นนึง แบบ 10 คน การคิดเงินรางวัลคือ ตายไป 5 คนเมื่อไหร่ อีก 5 คนที่เหลือจะได้ buy in (ค่าสมัคร) คืน บวกเงินเฉลี่ยตามจำนวนชิปส์ที่เหลือตรงหน้า
สถานการณ์มันสวรรค์สุดๆ คือ ผมเป็นโคตะระพ่อ Chip Leader (40 เท่า ของ Big Blind ต่อไปขอย่อว่า BB) แล้วดูคนอื่น
Zefaki ด้านบนที่ชิปส์เยอะสุด มีแค่ 6.5 Big Blind (ปกติต้องสัก 10 นิดๆจึงจะถือว่าปลอดภัยระดับนึง)
แล้วดูคนอื่น 1 Big Blind มั่ง 2 ฺBig Blind มั่ง นี่คือสถานการณ์ที่เข้าใกล้เทพเจ้าสุดละ 555 ปกติ Big Blind ประมาณ 250 นี่ ถ้าผมมีสัก 5000 (20BB) ก็ถือว่ามีอำนาจมากแล้ว

เราลองมาดูความคิดในหัวของผู้เล่นคนอื่นๆดูนะครับ
อธิบายนิดนึง อันนี้น่าจะเป็น Sit N Go Buy In 7$ ค่าสมัครก็คือประมาณ 6.68$ อีก 0.32$ เป็นค่า Rake
ทั้งหมดมีอยู่สิบคน เพราะฉะนั้นรางวัลรวมมี 66.8$ เกมจบพราะมื่อมีผู้เล่นตายไป 5 คน เพราะฉะนั้น เงินรวมก็จะแบ่ง 66.8$ ไปให้กับอีก 5 คน โดยที่ 5 คนสุดท้ายไม่ว่าจะมีชิปส์เท่าไหร่จะได้ 6.68$ คืนกลับไป ทีนี้ก็จะเหลือเงินรางวัลรวมอีก 33.4$ ซึ่งจะแบ่งตามจำนวนชิปส์ตรงหน้าครับ ตอนจบเกม ใครมีเยอะ ก็ได้ไปเยอะ โดยคิดตามเรท 100 ชิปส์เท่ากับ 0.22$

ทีนี้ จะเห็นว่า ชิปส์มันเริ่มมีค่าไม่เท่ากันละ ไม่เท่ายังไง?
จากรูปสมมติว่า เกมจบโดยที่ Zefaki เป็นฝ่ายตาย ส่วนผู้เล่น to be TRUMP อยู่รอดจนจบเกม to be TRUMP มีชิปส์อยู่ 300 to be TRUMP ก็จะได้เงินเป็นจำนวนทั้งหมด 6.68$ + (0.22$x300) = 7.34$

หมายความว่า ชิปส์จำนวน 300 มีค่าเท่ากับเงิน 7.34$ สำหรับ to be TRUMP
แล้วสำหรับผม superguiman ล่ะครับ ชิปส์ 300 มีค่าเท่าไหร่
คือไม่ว่าดูยังไง ผมก็ได้เงินแน่ๆ รอดแน่ๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เรื่องการรักษาชิปส์ให้อยู่รอดนั้นไม่อยู่ในหัวของผม สิ่งที่ผมต้องทำคือ Bully the players หรือ ก่อกวน รังแก ข่มขู่ ผู้เล่นคนอื่นๆ เพื่อดึงชิปส์มาเป็นของตัวเองให้ได้มากที่สุด

ถ้าสมมติว่าผมตุ๋ยชิปส์ของ Zefaki มาได้ 300 ชิปส์นั้นจะมีค่าสำหรับผม แค่ 300x0.22$ = 0.66$ เท่านั้นเอง (เหมือนน้อยนะครัช แต่ถ้ามันได้เรื่อยๆก็เยอะ และถ้าเรามีโอกาสได้มากกว่า ทำไมจะไม่ทำล่ะ จริงมะ 55)

ทีนี้เห็นความต่างไหมครับ ของชิปส์ 300
สำหรับ to be TRUMP มีค่า 7.34$ สำหรับ superguiman มันมีค่าแค่ 0.66$
แล้วแรงกดดันมันจะไปอยู่ที่ใครล่ะ? ก็เจ้า to be TRUMP ไงครับ ที่ซวย หน้าที่ของเขาคือรักษา 300 นั้นให้ดีที่สุด ส่วนชิปส์ 300 สำหรับผม มันเหมือนตัวเบี้ยที่ไม่กลัวตาย
พูดให้ชัดคือ ชิปส์จำนวนหนึ่งจะเป็นไปเพื่อการอยู่รอด และชิปส์ที่เหลือจะเป็นไปเพื่ออำนาจที่เพิ่มขึ้น เพื่อส่งผลต่อการเพิ่มอำนาจให้มากขึ้นไปอีกนั่นเอง

แล้วในหัวของผู้เล่นคนอื่นล่ะ คิดยังไง?
มาดูของ bwjsschol ชิปส์เหลืออยู่แค่ 2BB ถ้ารอบ Big Blind วนมาถึงอีกรอบสองรอบก็ตายเหมือนกัน เพราะงั้นสถานการณ์ไม่ต่างจาก to be TRUMP เท่าไหร่ ก็คือ กดดันมากๆ และเศษชิปส์แค่ 470 นั้นมีค่ามากๆ

tgo2012 อันนี้มันนั่ง sit out เลยไม่เห็นชิปส์ แต่ชิปส์ทั้งโต๊ะมี 15000 คิดจากสมการแล้วเจ้าหมอนี่มีแค่ 681 สภาพไม่ต่างจาก bwjsschol เท่าไหร่ แต่ดีกว่า to be TRUMP หน่อยนึง

ต่อมา นาย Selfj จากจีน มีอยู่ 843 คือมีอยู่ประมาณ 3.5 BB ภายในสองตาข้างหน้ามันจะโดนเก็บ Big Blind และ Small Blind อีก 375 มันก็จะเหลือแค่ เกือบๆห้าร้อย ไม่ต่างกันเท่าไหร่

ต่อมา นาย Zefaki 1643 คิดเป็น 6.5BB สถานการณ์จะเริ่มต่างออกไป แม้ไอหมอนี่ จะชิปส์ไม่เยอะ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆที่ไม่ใช่ superguiman แล้ว คือมันเยอะมาก เพราะงั้นมีโอกาสมากที่ 1/4 คนที่ไม่ใช่ superguiman หรือ Zefaki จะตายก่อน และทำให้ Zefaki ได้เงินรางวัลไปแบบสบายๆ
เพราะงั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดของ Zefaki คือนั่งเฉยๆ ถ้าไม่มีไพ่เทพจริงๆ รอคนอื่นตายดีกว่า

ตอนนี้ผมเข้าใจความคิดของคนอื่นหมดแล้ว ก็คือ ทุกคนต้องการจะอยู่รอด
เพราะฉะนั้นผมสามารถใส่ได้ไม่ยั้ง สามารถ Raise ได้ทุกตา ไม่ว่าจะมีไพ่ขยะแค่ไหน
(ตรงนี้เป็นการใช้อำนาจเงิน กับ ข้อมูล รวมกันเพื่อขยี้รายย่อย)

อันนี้เป็นเพียงเรื่องการ Bully Preflop ก็คือ รังแกก่อนเปิดไพ่กลาง ถ้าไม่มีใครคอล หรือเกสู้ คือจบ ผมได้ชิปส์เพิ่ม แล้วถ้าสมมติ Zefaki เกิดมีไพ่ AK แล้วนึกหมั่นไส้ผมขึ้นมาล่ะ เกิดเค้าคอลขึ้นมา เพื่อวัดกับผม มันจะเป็นยังไง

http://www.pokernews.com/poker-tools/poker-odds-calculator.htm

จากรูป สมมติตามภาพว่าผมถือ Q 10 คนละสี ละสมมติต่อว่า Zefaki ถือ AK ดอกเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็น อยู่ใน 3% Best Hand Range เลย(AA KK QQ AK) เล่นไปร้อยตา จะได้แบบนี้สักสามตา แล้วถ้าเกิด Zefaki จะงัดข้อกับผมด้วยการ Call All In จะเกิดอะไรขึ้น?

Zefaki จะชนะผม ประมาณ 65% และมีชิปส์เพิ่มขึ้นแบบ double up คือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1700-2000 คิดเป็นเงิน 3.74$- 4.4$
Zefaki จะแพ้ผม ประมาณ 35% สูญเงินทั้งหมด ตอนนี้ชิปส์ 1600 กว่าๆ ของ Zefaki มีค่าประมาณ 10$ นิดๆ

สมมติถ้าออลอินชนะ ได้ชิปส์เพิ่มคิดเป็นเงิน 4.4$ แต่ถ้าแพ้ เสียชิปส์ทั้งหมดคิดเป็นเงิน 10$
คิดหา Expectation ได้ตามนี้ (4.4$ x 65%) + (-10$ x 35%) = -0.64$
หมายความว่า การคอลด้วย AK คือความผิดพลาดที่จะทำให้ Zefaki เสียเงินในระยะยาว ครั้งละ 0.64$
เพราะฉะนั้น กลยุทธ์ที่ดีที่สุดของ Zefaki คือประคองๆไป รอให้คนอื่นตายแทน

แล้วสำหรับผม Superguiman ล่ะ ในเมื่อผมรู้ว่าขนาดไพ่ที่ดีที่สุด 3% ยังทำใจคอลลำบากแบบนี้ ผมก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว เพราะ Zefaki จะหมอบไพ่อีกกว่า 90% ที่เหลือแน่นอน เพราะฉะนั้นงานของผมคือบี้ต่อไป
และถ้าเขาเกิดคอลผมเป็นไง มีโอกาส 65% ที่ผมจะแพ้ และเสียชิปส์ 2000 คิดเป็นเงิน 4.4$ และโอกาสชนะ 35% ที่จะได้ชิปส์เพิ่มคิดเป็นเงิน 4.4$ แต่นั่นเฉพาะในกรณีที่เขาคอล ซึ่งเป็น Worst Case ส่วนใหญ่แล้วเขาจะหมอบ ทำให้ผมกินชิปส์ฟรีบนโต๊ะ ประมาณ 555 ชิปส์ คิดเป็นเงิน 1.2$ เงินฟรีแบบนี้ใครจะไม่เอาละครัชชช

สรุปคือ ผมมีแต่ เจ๊ากับได้ แต่สำหรับ Zefaki คือมีแต่ เจ๊งกับได้ เสียหายกว่าเห็นๆ
จากรูปเป็นสถานการณ์ที่ Extreme ไปหน่อยครับ เพราะเล่นมาเป็นพันเป็นหมื่น พึ่งมีตานี้แหละ ที่คุมชิปส์ได้เยอะถึง 66% ของโต๊ะ (10000/15000) ปกติถ้ามีสัก 5-6 พันก็ถือว่ามีอำนาจมากพอที่จะรังแกคนอื่นได้แล้ว

แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป
สมมติว่าทุกอย่างเหมือนเดิม ผมมีอยู่ 6000 Zefaki มีอยู่ 4000 สถานการณ์จะกลายเป็น มีรายใหญ่สองคน ผมใหญ่สุดในโต๊ะ แต่ Zefaki ก็ใหญ่มากพอที่จะทำให้ผมเสียหายหนัก ถ้าสู้กันแล้วผมแพ้ ผมจะเหลืออยู่ 2000 Zefaki จะกลายเป็น 8000 ผมจะกลายเป็นเบี้ยล่างสุดๆทันที

มันจึงมีกฏคนเล่นเป็นมักจะรู้ๆกันอยู่ว่ารายใหญ่มักจะไม่สู้กันเองแรงๆ ถ้าไม่ได้ถืออาวุธหนัก เพราะมันจะเสียหายหนักทั้งคู่ และถ้ารายใหญ่ฟัดกันตายเอง คนที่ได้ประโยชน์มากๆคือพวกตัวเล็กๆ ที่ไม่ต้องทำอะไร ก็ได้เข้า in the money (ถ้าคนชอบอ่านการ์ตูน ก็เหมือนตอน โกคู สู้กับ เวจีต้า สุดท้าย เสียหายหนักทั้งสองฝ่าย สุดท้ายบาบิดี้ได้ประโยชน์ ออกจอมมารบูได้ซะงั้น)


แต่ก็อีกแหละ บนโต๊ะ Poker ใคร Aggressive กว่าเป็นผู้ชนะ ถ้ามีรายใหญ่สองคน คนที่หนึ่งไม่อยากเสียหายหนัก คนที่สองก็จะคอยเล่นงาน ข่มขู่ เพราะงั้น กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ ทำให้รู้ว่า GU ไม่ยอมให้มะรึงกวาดเอาชิปส์บนโต๊ะไปคนเดียวหรอก สถานการณ์แบบนี้ผมจะเจอบ่อยมาก คือมักจะมีชิปส์ประมาณ 4000 แต่ก็จะมีอีกคนนึงมีประมาณ 4000 เหมือนกัน แล้วก็ต้องมาลองกันว่าใครจะเจ๋งกว่า มันก็ไม่ยอมให้เราคุมโต๊ะ เราก็ไม่ยอมให้มันคุม เครียดแต่ก็มันส์ดี

แต่ตรงนี้อาจจะต่างกับตลาดหุ้นหน่อย คือบนโต๊ะ Poker การคุมโต๊ะจะเกิดขึ้นแค่ใน Tournament เพราะ Blind จะสูงขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันที่จะต้องออกจากเกมจะสูงขึ้นเรื่อยๆ คนที่มีชิปส์มาก และมีกลยุทธ์ที่ดีจะเอาเปรียบคนอื่นได้มาก แต่ถ้าเกิดมีรายใหญ่ สองหรือสามคนอยู่ในโต๊ะเดียวกันก็ต้องมาฟัดกันเอง จนกว่าจะพังจนเหลือรายใหญ่มากๆคนเดียว (เล่นแล้วเลิกไม่ได้ จนกว่าจะจบเกม เพราะเป็นทัวร์นาเม้น) แต่ตลาดหุ้น มันไม่จำเป็นต้องเล่นจนจบ จึงไม่น่าจะมีเหตุผลให้เจ้ามือมาฟัดกันเองในหุ้นตัวนึงมากนัก (ความเห็นส่วนตัวอีกแล้ว ที่เคยได้ยินมาคือแอบเก็บหุ้นเงียบๆเพื่อเข้ายึดบริษัท หรือเรียกค่าไถ่แพงๆ หรืออาจจะมีการสู้กันแบบอื่นอีก)

จากที่แพล่มมามากมาย ผมอยากจะบอกว่า
Money = Power (ผมหมายถึง รายใหญ่มีเม็ดเงินที่มหาศาล และเงินของเขามีค่าไม่เท่าของเรา เขาสามารถใช้เงินเป็นอาวุธเพื่อเล่นงานเราได้)
Information = Power (Info ผมหมายถึง รายใหญ่น่าจะเข้าใจกระบวนการคิดของรายย่อย และแมงเม่า, รู้จุด stop หลักๆของรายย่อย, รู้วิธีปั่นหัวรายย่อย)
และ Money + Infomation = Super Power
รายใหญ่มีทั้งสองสิ่งนี้ จึงทำให้อำนาจอยู่ที่เขามากมาย แต่ก็ยังไม่ใช่ 100% ถ้ารายใหญ่สวนเทรนด์ก็เจ็บได้เหมือนกัน (บนโต๊ะ Poker ถ้าไพ่ออกไม่ดี รายใหญ่ก็เสียหายได้เหมือนกัน) ถ้ารายใหญ่สู้กันเอง ก็เสียหายหนักได้เหมือนกัน

ตัวอย่างบทเรียนการ Control the Table สนุกๆจาก Gus Hansen 
ตัดประเด็นเรื่องผลงานออนไลน์ออกไปนะครัช (เพราะมันเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง เพียงแค่เล่าผ่าน Gus เท่านั้นเอง)

ปล. พออยู่บนโต๊ะ Poker ผมถือว่าผมและทุกคนอยู่ในเกมแล้ว หน้าที่คืออยู่รอด และเล่นงานคู่ต่อสู้ตรงหน้าเพื่อให้ชิปส์มาอยู่ที่เรามากที่สุด ผมเชื่อว่ารายใหญ่ทุกคนคิดแบบนี้ แต่พอมาในตลาดหุ้น ย่อยเข้ามาเล่นหุ้น โดนทุบกระอัก แล้วมาตั้งกระทู้สาปแช่งนี่มันโคตรตลกเลย อยากจะเอาเงินเขา แต่พอโดนเขาเอาคืน ก็ร้องโยเย ทุกคนอยู่ในเกมแล้วนะครัช

Sunday, April 12, 2015

เส้นทางของนัก Poker และ Learning Model

สวัสดีครับ เชื่อว่าหลายคนที่เป็น Trader หรือนักเล่นหุ้น หรือนักลงทุนอะไรก็แล้วแต่จะเรียก คงเคยได้ยินคำพูดหรือคำสอนที่บอกว่า อยากเล่นหุ้นเก่ง ต้องเล่น Poker ใช่มั้ยครับ แล้วมีใครคิดจริงจังกับคำพูดที่ว่านี้มั้ย หรือแม้กระทั่งคนที่ไปลองเล่น มีใครเคยเอาจริงเอาจังกับมันมากๆ จนถึงที่สุดมั้ย

ผมก็คนนึงที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ ทั้งจากลอยๆ และจากพี่ต้าน Mudley Group ซึ่งไม่รู้นึกยังไง แรกๆก็ลองเล่น Play Money เงินปลอมๆที่ให้มา จาก 1000 ทำให้โตกลายเป็น 100000 ก็เลยคิดว่าถ้ามันง่ายขนาดนี้ ก็อยากจะลองเล่นเงินจริงดูมั่ง 


สุดท้ายแล้วก็เลยลองจริงๆ โอนเงินไทย แปลงเป็น $ โอนจากเว็บตัวกลาง เข้าเว็บ Poker 
จาก 20$ เล่นไปเล่นมาเรื่อยๆ เจ๊งบ้าง ได้บ้าง 1 ปีผ่านไป เงินรวมๆ กลายเป็นประมาณ 1000$ 

ข้อมูลจากเว็บ Sharkscope.com 
ใครที่เล่น Poker เว็บดังๆ จะมีข้อมูลล็อกอินอยู่ในเว็บนี้ ซึ่งมองแง่นึงมันก็ดีที่มีเว็บมาเก็บสถิติให้ฟรี
แต่ถ้าพวกเล่นจริงจัง จะมองว่าโดนเปิดเผยข้อมูลแบบไม่อนุญาติ ทำให้เสียเปรียบ เพราะงั้นเค้าจะเข้าไปบล็อกชื่อตัวเองซะ ไม่ให้คนอื่นมาเสริชสถิติได้ 

ด้านบนคือกราฟของกำไรของผม ประมาณ 800$ กว่า ที่จริงมันมีที่ผมโอนกำไรจากเว็บ Pokerstar ไปเล่นที่เว็บอื่นเพื่อเอา Deposit Bonus อีก โดยรวม กำไรจะประมาณ 1000$ บวกลบไม่มาก
ระยะเวลาที่เล่นทั้งหมด จะประมาณ 1 ปี บวกลบไม่มากเหมือนกัน

จากกราฟคือ ตอนแรกผมฝากเงินเข้าไป 20$ ประมาณ 600 กว่าบาท จากนั้นก็เอาไปเล่น Poker แบบนึง คือ 6Max Cash Game ซึ่งจะไม่โชว์ในกราฟนี้ ในเว็บนี้จะเก็บสถิติแค่เกมแบบ Tournament 
สัปดาห์แรกๆ ผมทำเงินจาก 20$ ไปเป็น 160$ ได้เร็วมาก แต่หลังจากนั้นสองวัน ผมเหลือ 0 (beginner's luck) จากนั้นผมจึงเอาแต้มที่ได้จากการเล่นบ่อยๆ ไปเคลมแลกเป็นเงินได้มา 10$ แล้วจึงเริ่มเล่นใหม่อีกครั้ง เพราะงั้นคราวนี้จึงถือเป็นการเริ่มเดินทางจาก 10$ ไปจนถึง 1000$ แบบของจริง

หลังจากจบการเดินทางครั้งนี้ ผมได้เรียนรู้คอนเซปท์ต่างๆชนิดที่ว่ามันมากจริงๆ ทั้งเกี่ยวกับการ Trade และที่ไม่เกี่ยว (แลกกับเวลาที่เสียไป 1 ปี เพราะตอนนั้นติดมัน และทุ่มเทกับมันมากจริงๆ อ่านหนังสือ Poker เป็นสิบๆเล่ม และดูวิดีโอ Poker อีกหลายสิบชั่วโมง) 

จากการเล่น Poker มา 1 ปี ทำให้ผมเข้าใจตัวเองดีขึ้นเยอะ เข้าจัดกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอย่างชัดเจน เพราะนัก Poker จะต้องพัฒนาตัวเองตลอด และต้องพัฒนาให้เร็วด้วย โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่จะต้องเปลี่ยนจาก Losing Player ไปเป็น Breakeven Player และ Winning Player ให้ได้ ก่อนที่เงินและกำลังใจจะหมดลง (ช่วงแรกที่ผมทำจาก 160$ เจ๊งเหลือ 0 มันท้อมาก เหมือนกับสิ่งที่เราหวังไว้มันพังหมด แต่ก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่กล้าเริ่มใหม่อีกครั้งกับเศษเงินเล็กๆ ที่เว็บแจกให้เพราะเล่นบ่อย)

สิ่งที่เรียนรู้มามันเยอะเหลือกัน ผมจะค่อยๆเรียบเรียงออกมา ณ ที่นี้
เริ่มจากเรื่องแรก 

Learning Model 
ผมเป็นคนที่ชอบเรียนรู้จากหนังสือมาก ผมอ่านหนังสือเยอะ และถ้าเรื่องไหนที่ผมไม่รู้ ผมจะหาคำตอบจากหนังสือก่อน ผมเปลี่ยนตัวเองจากคนที่อ่อนภาษาอังกฤษมาก เวลาทำข้อสอบต้องมั่วแทบทุกข้อ มาเป็นคนที่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษเป็นตั้งๆได้ ก็เพราะค้นพบวิธีเรียนภาษาดวยตัวเองจากหนังสือเล่มนึง และเรื่อง Poker ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ตอนที่ผมไปเคลม 10$ สุดท้ายจาก Frequently Play Points มาเล่น ผมเริ่มจากการไปหาชื่อหนังสือ Poker เจ๋งๆ ในเว็บ Amazon.com ที่มีคนให้ดาวเยอะๆ และตรงกับเกมที่ผมจะเล่น นั่นก็คือเกมแบบ Sit N Go Tournament จากนั้นผมก็โหลด PDF หนังสือลงไอแพด แล้วอ่านไปเรื่อยๆ (ตอนนี้มีเงินแล้ว จะไม่ทำอีก ซื้อดีกว่า) + หาวิดีโอในยูทูปที่สอนเล่น Poker แบบเล่นให้ดู แล้วมีคอมเม้นท์ถึงกระบวนการคิดในแต่ละตา (ของฝรั่งทั้งนั้น) ทั้งอ่านทั้งดูแล้วก็ไปเล่น Poker เกมละ 1.5$ ชนะบ้างแพ้บ้าง แต่มันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และ Bankroll ก็เริ่มสวิงแบบโตขึ้น ผมบันทึกผลงานไว้ตลอด บันทึกตั้งแต่ 10$ กว่า จนเกือบพัน 



จากตอนนั้นถึงตอนนี้ ผมเลยเข้าใจตัวเองอย่างชัดเจนว่า ผมถนัดที่จะเรียนรู้จากทฤษฏี + ดูสิ่งที่โปรทำ แล้วมาทำตาม ทำไป อ่านไป ดูไป แก้ไปเรื่อยๆ จนมันเข้าที่เข้าทาง ด้วยความที่อ่าน กะศึกษามาโคตรๆเยอะผมเลยรู้ทฤษฏี Poker เยอะมากๆ ขอเรียกวิธีแบบนี้ว่า (อาจจะยังไม่ชัดเจนในชื่อ และคอนเซปท์นัก ต้องขออภัย) ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่ได้แยกเป็นหัวข้อชัดเจน แต่ละคนอาจจะใช้หลายๆโมเดลรวมกันก็ได้


1. เรียนรู้แบบนักทฤษฏี (และนำไปปฏิบัติ)
ประมาณว่าเรียนรู้ด้วยตัวเองจากหนังสือ และวิดีโอ เอาไปทำ กลับมาดูใหม่ แก้ไข ทำซ้ำ จนมันดีขึ้นเรื่อยๆ (จากผลงานแสดงให้เห็นแล้วว่ามันเวิร์ค จาก 10$ กลายเป็น 1000$ ได้) และผมใช้โมเดลนี้สำเร็จมาสองเรื่องคือการฝึกภาษาด้วยตัวเอง และการเล่น Poker แน่นอนว่า ผมกำลังใช้โมเดลนี้กับการเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จ

2. เรียนรู้จากความผิดพลาดแบบมหาศาล 
พอเล่นมากๆเข้า ผมก็ตั้งกลุ่ม Poker กันเองกะเพื่อนไม่กี่คนในเฟส แต่อยู่ดีๆ มีเทรดเดอร์ลูกศิษย์จาก Mudley Group คนนึงมาเข้ากลุ่ม (ชื่อว่าน้อง B...) จากนั้นก็ลากเพื่อนๆเทรดเดอร์เข้ามาเพียบ ไปๆมาๆกลุ่มเลยมีประมาณ 300 คน และผมก็ไปรู้จักกับนัก Poker คนนึงที่เก่งมาก (เคยออกไปเล่น Live Poker กันทีนึง สู้ไม่ไหวเบยนะ) พอเอาชื่อไปส่องใน Sharkscope นี่ต้องร้องอู้หูว


(ขออนุญาติลงกราฟนะเพื่อน Miingniim ถถถถถ)
ระยะเวลาเล่นรวม (นับเฉพาะเกมแบบ Tournament) ถึง ปจบ ก็ประมาณสองปีครึ่ง  กำไรรวมประมาณเกือบ 6000$ แม่เจ้า!!! เกือบแสนแปด ถึงจะหารต่อเดือนแล้วจะไม่มาก แต่การเล่นเกมแล้วได้เงินขนาดนี้มันก็เจ๋งจริงไหมครับ อิอิ และถือว่าเค้าต้องเป็นผู้เล่นที่สุดยอดคนนึง ที่ทำกำไรได้นิ่งและนานขนาดนี้

แต่เรื่องที่ผมทึ่งกว่านั้นอีกก็คือ วิธีการเรียนรู้ของเพื่อนผมคนนี้ เขาบอกว่าเขาไม่ได้เน้นอ่านหนังสืออะไรมาก เขาจะไม่ค่อยรู้จักทฤษฏี Poker มาก แต่ใช้วิธีดูและปรับๆเอา ประมาณว่าครูพักลักจำอะไรประมาณนั้น จะเห็นได้ว่า ช่วงแรกๆ เส้นกำไรติดลบไปเยอะอยู่ (ช่วงเรียนรู้) จากนั้นก็มีแต่ขึ้นกับขึ้น (แต่ของผมจะไม่ติดลบ เพราะตั้งใจไว้ว่าใส่แค่ 20$ ถ้าเจ๊ง GU เลิก 555)

พอตอนที่ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้ศึกษาอะไรหนักแบบผม ผมก็งงมาก ว่ามันมีวิธีเรียนรู้แบบนี้ด้วยเหรอวะเนี่ย นึกว่านัก Poker ที่เก่ง จะต้องอ่านหนังสือเยอะๆซะอีก แต่ผมก็มีสมมติฐานของผมเหมือนกันว่า โมเดลเรียนรู้แบบผม น่าจะพัฒนาได้เร็วกว่า เพราะมันเป็นการเรียนรู้จากเซียน ไม่ต้องมาลองผิดลองถูกตั้งแต่ต้น เหมือนเพื่อนผม และดูจากกราฟ ช่วงแรกๆ กราฟผมจะไม่ติดลบ แต่จะขึ้นเลย (แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ชัดเจน เพราะตัวอย่างมันน้อย นัก Poker ในไทยหายาก ยิ่งเก่งๆยิ่งหายากไปใหญ่ 55)

อีกเรื่องนึงคือ ตอนที่ไปประมือกันแบบนั่งโต๊ะจริงๆ ผมโดนคุณ Miingniim เล่นงานจนเหนื่อยมาก เหตุหนึ่งเพราะผมไม่ค่อยได้เล่นแบบ live และเหตุที่สอง คิดว่าน่าจะเป็นเพราะ ประสบการณ์ของ Miingniim ที่มหาศาลกว่ามาก ตอนที่สู้กันนั้นเค้าเล่น Sit N Go Online เกินหมื่นเกมไปแล้ว ส่วนผมเล่นไปแค่ 3 พันเกม และด้วยสไตล์การพัฒนาตัวเองที่ไม่เน้นทฤษฏี ทำให้สไตล์การเล่นมันฉีกออกไป ผมจับทางยากมาก 

อยากสรุปคร่าวๆว่า โมเดลการเรียนรู้จากความผิดพลาดนี้ น่าจะมีข้อเสียตรงเรียนรู้ได้ช้ากว่า แบบเรียนจากทฤษฏี หรือจากเซียน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ สไตล์ที่หลากหลาย ปรับตัวได้เร็ว และค่อนข้างร้ายกาจ (แต่ถ้าเอาโมเดลนี้ไปใช้กับการเล่นหุ้นแบบดุ้นๆเลย อาจจะไม่ดีก็ได้ เพราะอาจจะเจ๊งหมดก่อน ที่จะพัฒนากลายเป็นเทพ)

3. เรียนรู้จากโค้ช
ผมไม่เคยเจอเพื่อน หรือคู่แข่งจากโมเดลนี้ แต่คิดว่ามันน่าจะทำให้พัฒนาได้เร็วมากเหมือนกัน น่าจะเร็วกว่าสองโมเดลข้างต้น ซึ่งโค้ชในที่นี้ ต่างจากแนวอร์สสอนหุ้นที่เปิดสอนกัน 3 ชม หรือ 10 ชมแล้วจบนะครับ ในวงการ Professional Poker จะมีโค้ช Poker จริงๆที่เป็นมือโปรเหมือนกัน คิดค่าจ้างเป็น ชม เคยเห็นชม ละ 50$ โดยเล่นให้เค้าดู จากนั้นเค้าก็จะแนะนำต่างๆนาๆ ซึ่งถ้าจะทำแบบนี้ได้ ก็คงต้องผ่านโมเดลแบบที่ 1 หรือ 2 มาบ้าง เพราะไม่งั้นเปลืองค่าโค้ชตายเลย หรือถ้าใครมีคนรู้จักโค้ชให้ก็คงสบาย ซึ่งในเรื่องการเล่นหุ้นนี้ ถ้ามีโค้ชหุ้นแบบนี้มันคงจะดีมากเลย

4. เรียนรู้จากเพื่อน
อันสุดท้ายที่นึกออกคือ การจับคู่ หรือจับกลุ่มเรียนรู้ แลกเปลี่ยนแนวคิด และทฤษฏี เพื่อพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ และแก้ไขจุดด้อยของแต่ละคน การที่ผมตั้งกลุ่ม Poker ในเฟสบุคขึ้นมา ก็ทำให้ผมได้แลกเปลี่ยนกับใครหลายคนเหมือนกัน แต่คนที่ชอบที่สุดก็คงเป็นเพื่อนผมคนเดิม Miingniim เพราะประสบการณ์เยอะมาก และการจับคู่กับคนเก่งๆก็ทำให้เราเก่งขึ้นได้ไว ซึ่งก็เป็นแบบนี้ทุกวงการจริงไหมครับ เหมือนอย่างในการ์ตูนอย่าง กอร์นกับคิรัว ใน Hunter X Hunter, เบจิต้า ซุนโงคู ฯลฯ



 (แต่ตอนนั้นเจอกันน้อยไปหน่อย เลยไม่ค่อยได้แลกเปลี่ยนมากนัก ไม่งั้นผมคงเก่งขึ้นอีกเยอะเบยย)
ในวงการ Poker ก็มีแบบนี้นะครับ อย่าง Tom Dwan กับ Phil Galfond ระดับท็อปของวงการทั้งคู่ ที่เป็นเพื่อนกัน แต่จากที่ Galfond เคยตอบคำถาม Q&A เขาบอกว่ารู้จัก Tom Dwan ตอนเล่น 50/100$ แต่ตัว Galfond เองยังเล่นแค่ 5/10$ อยู่เลย ณ ตอนนั้น แต่ปัจจุบันไต่ขึ้นมาเล่นระดับเดียวกันแล้ว


แต่โมเดลเรียนรู้จากเพื่อนนี่ มีข้อแม้นิดนึงนะ คือทั้งสองคนที่มาจับคู่กันต้องเก่งพอๆกัน หรือห่างกันไม่มาก แต่เรียกว่าต้องระดับเก่งแล้วนะ ถ้ากระจอกเหมือนกัน ก็คงพากันวนอยู่ในอ่าง และจะหาเพื่อนเก่งๆได้ ตัวเองก็ต้องผ่านการเรียนรู้แบบโมเดล 1 หรือ 2 มาประมาณนึง ไม่งั้นถ้าเรายังกระจอกอยู่ ใครจะมาเป็นเพื่อนด้วยล่ะ 55

เขียนบทความนี้จบ เหนื่อยละครับ ไว้วันหลังมีแรงมีอารมณ์ จะมากลั่นกรองประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้จาก Poker ให้อ่านให้ชมอีก หลายๆเรื่องน่าสนใจมากจริงๆถ้าเอามาปรับใช้กับการเล่นหุ้น เช่น Multiple Level Thinking, Poker Math, Bankroll Management (Money Management), Tilt Control, Mental Practice, Etc. 
วงการ Poker มันลึกซึ้งจนถึงกับมีคนบอกว่า If you are smart enough to play poker, you may be smart enough to do something else. 

สุดท้ายฝากเพจด้วยครับ เขียนงานก็อยากให้มีคนอ่าน คนติดตาม 

Tuesday, March 31, 2015

Demo 7

Bigger 1























ทำสามเหลี่ยมสวยงามทั้ง RSI และราคา และเบรคพร้อมกัน จึงเข้าซื้อ

Bigger 2
























ราคากับ RSI เบรคสามเหลี่ยมแรก พุ่งขึ้นไป แล้วดึงกลับ แต่ยังไม่หลุดจุด stop ที่ 60 (trailing stop วัดจาก high ใกล้ๆ) เลยยังไม่ขาย รอลุ้นต่อ

ราคาทำสามเหลี่ยมที่สอง ชี้ขึ้น RSI ก็ทำสามเหลี่ยมเหมือนกัน แต่พึ่งเห็นทีหลังว่าเป็น divergence
ราคาเบรคสามเหลี่ยม แต่เบรคแล้วพัง

Closer 2






















Reason of entry
RSI กับราคา ทำสามเหลี่ยม(แรก)แล้ว เบรคพร้อมกัน

Reason of exit
เบรคหลอก แล้วหลุด trailing stop ของสามเหลี่ยมที่สอง

RRR : 1.8
Entry : 62.38
Exit : 65.21
Intended Entry : 62.5
Stop : 57 (9.64%)
Target : 72.5 (16%)
Profit : 4.53%
Buy & Hold Comparision 20 bars later : -6.05%

สภาวะอารมณ์ : 7 ปกติ
ความผิดพลาด และอุปสรรค : มองไม่เห็น divergence pattern ของ RSI & Price, ออกช้าไป สองแท่ง

สิ่งที่เรียนรู้เพิ่มเติม : อย่านอนใจ แพทเทิร์นมันเปลี่ยนได้

Demo 6

Bigger
 Closer























Reason of entry
RSI เบรค downtrendline พร้อมราคาและราคาเบรค H&S pattern

Reason of exit
ราคาขึ้นชัน และเกิดแท่งแดงยาว RSI + ราคายังไม่หลุด uptrend กลัวกำไรหาย

RRR : NA (ไม่ได้คำนวณ เพราะหา Target ไม่ได้ ไม่รู้ target H&S)
Entry : 57.16
Exit : 62.5
Intended Entry : 57
Stop : 49 (14%)
Target : NA
Profit : 9.34%
Buy & Hold Comparision 20 bars later : 7.22%

สภาวะอารมณ์ : 7 ปกติ
ความผิดพลาด และอุปสรรค : ไม่ได้หา target เลยคิด RRR ไม่ได้ ทำให้เสี่ยงเกินจำเป็น ถ้าเทรดแล้ว
ผิดทาง (stop ที่ -14% ถ้า reward ไม่ดีพอ ก็ไม่ควรจะเสี่ยง)

สิ่งที่เรียนรู้เพิ่มเติม : 

Sunday, March 29, 2015

Demo 5

Bigger
 Closer























Reason of entry
RSI เบรค downtrendline พร้อมราคาเบรค joint trendline และ RSI วกกลับจากเขต oversold

Reason of exit
breakout fail หลุด stop

RRR : 3
Entry : 8.57
Exit : 7.69
Intended Entry : 8.5
Stop : 8 (5.88%)
Target : 10 (17.6%)
Profit : -10.26%
Buy & Hold Comparision 20 bars later : -12%

สภาวะอารมณ์ : 5 ลังเลที่จะขาย หลังหลุด stop
ความผิดพลาด และอุปสรรค : ขายช้าไป ควรจะขายหลังจากที่หลุด 8 และสบายใจเกินไป ไม่เช็ค
ว่า RSI กับราคามันหลุด uptrend มาแล้ว

สิ่งที่เรียนรู้เพิ่มเติม : อย่าลังเล ทำตามแผน และอย่าสบายใจเกิน

Demo 4

Bigger
Closer


Reason of entry
RSI เบรค downtrendline พร้อมราคา พร้อมทำ descending triangle และเส้น MA สั้นทำท่าจะตัด MA ยาว

Reason of exit
ขึ้นมาเยอะมาก และชันมาก และทำ Harami reversal pattern

RRR : ไม่ได้คิด (ตอนแรกได้ 2 เพราะตั้งใจทิ้งที่ 2.1 แต่เลื่อน stop เป็น 2 ให้เข้ากับ SAR)
Entry : 2.22
Exit : 2.6
Intended Entry : 2.4
Stop : 2
Target : 3
Profit : 17.11%
Buy & Hold Comparision 20 bars later : 15.31%

สภาวะอารมณ์ : 7 ปกติ
ความผิดพลาด และอุปสรรค : ขายช้าไป ควรจะขายหลังจากที่เห็น Harami

สิ่งที่เรียนรู้เพิ่มเติม : 

Saturday, March 28, 2015

Demo 3

Bigger

 Closer

Reason of entry
RSI เบรค downtrendline พร้อมราคา

Reason of exit
RSI หลุด uptrendline พร้อมราคา 

RRR : ไม่ได้คิด
Entry : 46.56
Exit : 47.13
Intended Entry : 2.4
Stop : 2
Target : 3
Profit : 1.22%
Buy & Hold Comparision 20 bars later : 

20 Bars Later After Close 


สภาวะอารมณ์ : 7 ปกติ
ความผิดพลาด และอุปสรรค : 
สิ่งที่เรียนรู้เพิ่มเติม : ราคาเบรค uptrendline พร้อม RSI confirm break แต่ลงมาทำเส้น uptrend ใหม่ที่ชันน้อยกว่าเดิม แล้ววิ่งต่อ

Demo 2

Bigger




 Closer


Reason of entry
เป็น downsideway กะเล่นชอร์ตสวิง
R2.33

Reason of exit
RSI break downtrendline
พร้อมราคา

RRR : 2.33
Entry : 43.38 (จะเข้า 42.4)
Exit : 46
Target : 34 (19%)
Stop : 46 (8.4%)
Profit : -6.03%
Buy & Hold Comparision 20 bars later : 6.03%
Short & Hold Comparision 20 bars later : -16.13%

20 Bars Later After Close


สภาวะอารมณ์ : 7 ปกติ
ความผิดพลาด และอุปสรรค : 
สิ่งที่เรียนรู้เพิ่มเติม : -

Demo 1

Bigger

 Closer

Reason of entry
RSI เบรค downtrendline พร้อมราคา
พร้อมทำรูปสามเหลี่ยม เทรนไลน์ยาว
2/5 ของจอ แตะประมาณ 7 ครั้ง แต่แตะ
ถี่ไปหน่อย และตรงกลางไม่เทรนไม่แตะ
เบรคด้วยโวลุ่มปกติ แท่งเขียวยาว

Reason of exit
RSI หลุด uptrendline สองเส้น
พร้อมราคา 

RRR : ไม่ได้คิด
Entry : 24.96
Exit : 25.11
Target : 26.5 (น้อยแต่อยากทดลองสูตร)
Stop : ไม่ได้วาง
Profit : 0.6%
Buy & Hold Comparision : 0.2%

20 Bars Later After Close

สภาวะอารมณ์ : 7 ปกติ
ความผิดพลาด และอุปสรรค : 
สิ่งที่เรียนรู้เพิ่มเติม : breakout โวลุ่มน้อย เลยวิ่งไม่แรง??